profender monotube2.0

profender monotube2.0

profender monotube2.0 – เพิ่มสมถรรนะ การขับขี่แบบ นุ่มหนึบ ไม่กระด้างกับ โช๊คอัพ Profender Monotube 2.0 ตอบสนองทุก เส้นทางควบคุมการ ขับขี่ได้ดี ตัวโช๊คเป็นระบบ Monotube ด้านหน้าปรับ เกลียวรองรับการยก 2″ ในตัวเอง ส่วนด้านหลัง สามารถติดตั้งแบบ หัวกลับ(Upside down) ตัวกระบอกสามารถ เปิดซ่อมได้

โช๊คอัพ Profender Monotube

ระบบแก๊สกึ่งน้ำมัน ตัวกระบอกทำจาก เหล็กที่ได้รับรอง มาตราฐานจาก ประเทศญี่ปุ่น น้ำมันคุณภาพสูง ตัวแก๊สเป็น ไนโตรเจน ให้การตอบสนองที่ดี

โช๊คอัพ Profender Monotube

คุณสมบัติพิเศษ profender monotube2.0

  • เป็นโช๊คระบบเปิด สามารถเปิดซ่อมได้ ตลอดอายุการใช้งาน ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการซ่อมบำรุง
  • ให้ความนุ่มนวล ในการขับขี่
  • โช๊คสามารถ ปรับเซ็ทค่า น้ำหนักได้
  • เหมาะสมสำหรับ ใช้งานในเมืองและ เดินทางไกล
  • ทนทานต่อ อุณหภูมิสูง โดยที่ความหนืด เปลียนแปลงน้อยมาก
  • มีระบบการระบาย ความร้อนที่ดีผ่าน ผนังชั้นเดียว
  • เหมาะสมหลาย ลักษณะการ ใช้งาน
  • ดูแลรักษาและ ติดตั้งได้ง่าย

สามารถติดตั้งได้ในรถ ดังนี้

Toyota

  • วีโก้ รีโว่
  • ฟอจูนเนอร์ นิวฟอจูนเนอร์
  • รถตู้คอมมูเตอร์ รถตู้เวนทูรี่
  • อินโนว่า

Isuzu

  • อีซูซุออนิวดีแม็ค,อีซูซุดีแม็ค
  • mu-x ,mu7

Ford

  • ฟอดเรนเจอร์ ตัวเตี้ย ตัวสูง

Mitsubishi

  • มิตซูไทรทัน ตัวสูง
  • ปาเจโร่สปรอต์ และนิวปาเจโร่สปรอต์

 

โช๊คอัพคืออะไรและทำหน้าที่อะไร

โช๊คอัพเป็นอุปกรณ์ หนึ่งที่สำคัญกับ ระบบช่วงล่าง ถูกติดตั้งอยู่ บริเวณล้อรถยนต์ โดยที่จะมี อะไหล่ชิ้นหนึ่ง เรียกว่า “ปีกนก” คอยเป็นตัวค้ำระหว่าง ตัวโช๊คอัพและตัวล้อ ให้เชื่อมต่อและ ทำงานร่วมกัน หน้าตาของ โช๊คอัพนั้นหลาย ๆ คนน่าจะเห็นและ รู้จักคุ้นเคยกัน เป็นอย่างดี ซึ่งจะหน้าตา เหมือนกับคดสปริงยืด-หดได้ โดยมีหน้าที่ หลัก ๆ ดังต่อไปนี้

  1. คอยพยุงตัวรถเพื่อกันการยุบตัว

หากรถยนต์นั้นไม่มี โช๊คอัพที่จะเข้ามา ติดตั้งแล้วล่ะก็ รถนั้นจะมีอาการสั่น อย่างรุนแรง รวมไปถึง ตัวรถยนต์จะยุบตัว ทำให้ไม่สามารถขับขี่ได้

  1. คอยรับแรงสั่นสะเทือน

การที่มีโช๊คอัพอยู่นั้นจะ ช่วยในเรื่องของรองรับแรง กระแทกต่าง ๆ จะพื้นผิวของถนน ที่ขรุขระได้ ทำให้รถยนต์นั้นนิ่ง และนุ่มนวลมากที่สุด ในขณะที่เดินทางไปในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม โดยหลักการทำงานนั้นคือ เมื่อมีแรงกดลงมา สปริงจะทำการยุบตัวลง และค่อยคืนสภาพเดิม

ประเภทของ โชค h drive ราคาถูก

อะไหล่ต่าง ๆ ภายในรถยนต์ นั้นได้มีการพัฒนามา โดยตลอด ซึ่งโช๊คอัพก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดี และเข้ากับรถยนต์แต่ ละประเภท โดยโช๊คอัพนั้นมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  1. โช๊คอัพระบบน้ำมัน

เป็นโช๊คอัพที่ทำงาน ด้วยระบบไฮดรอลิค ในขณะที่โช๊คอัพ แบบนี้กำลังทำงานนั้น น้ำมันไฮดรอลิคจะถูกนำ เข้ามาผ่านวาล์วลูกสูบ ซึ่งเป็นเพียงการทำให้โช๊คอัพนั้นหนืดเพียง อย่างเดียวเท่านั้น โดยข้อเสียอย่างใหญ่ หลวงของโช๊คอัพแบบระบบ น้ำมันนั่นคือ เมื่อน้ำมันไฮดรอลิก ที่อยู่ภายในนั้นเกิดฟองอากาศและแตกขึ้นมา แล้วล่ะก็ โช๊คอัพจะไม่สามารถ ทำงานได้ชั่วขณะ ซึ่งอาจทำให้รถยนต์ นั้นสูญเสียการควบคุม และเกิดอุบัติเหตุได้

  1. โช๊คอัพระบบแก๊ส

เป็นโช๊คอัพระบบแก๊ส โดยใช้แก๊สไนโตรเจน ทำงานร่วมกับน้ำมัน ไฮดรอลิค เมื่อโช๊คอัพทำงาน ลูกสูบจะเคลื่อนตัวลง มาสู่ด้านล่างของกระบอกสูบ ทำให้น้ำมันไฮดรอลิดถูก สูบเข้าในส่วนบน และส่วนล่างของลูกสูบ หลังจากนั้นจึง อัดแก๊สไนโตรเจนให้ เกิดแรงดัน โดยสามารถแบ่งออก ได้เป็นอีก 2 ประเภท

  • Low-Pressure Gas Shock Absorber

โช๊คอัพแรงดันต่ำ โดยทีโช๊คอัพแบบนี้ จะมีส่วนที่สำหรับน้ำมัน ไฮดรอลิคสำรองเอาไว้ โดยจะอัดแรงดัน ไว้อยู่ที่ ประมาณ 10 – 15 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร หรือประมาณ 142-213 ปอนด์/ตารางนิ้ว

  • Hi-Pressure Gas Shock Absorber

โช๊คอัพแรงดันสูง ซึ่งจะแตกต่างจากแบบแรกเพียงเล็กน้อย นั่นก็คือโช๊คอัพแบบนี้นั้น จะไม่มีส่วนเป็นน้ำมันไฮดรอลิคสำรอง โดยจะอัดแรงดันไว้อยู่ที่ประมาณ 20 – 30 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร หรือประมาณ 284 – 427 ปอนด์/ตารางนิ้ว

วิธีดูแลรักษาโช๊คอัพควรทำอย่างไรบ้าง

อุปกรณ์และอะไหล่ทุกอย่างภายในรถยนต์นั้น ย่อมมีอายุการใช้งานที่ถูกจำกัดเอาไว้ โช๊คอัพก็เช่นเดียวกัน ซึ่งโช๊คอัพนั้นมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 100,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่การบำรุงดูแลรักษา รวมไปถึงพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคนด้วย ซึ่งเดี๋ยวมาดูกันว่ามีวิธีอย่างไรบ้าง ที่จะทำให้โช๊คอัพนั้นอยู่กับรถเราไปได้นาน ๆ

1. ตรวจสอบโช๊คอัพอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจเช็คนั้นเป็นสิ่งเบื้องต้นที่ควรทำในทุก ๆ ที่ขับขี่ไปที่ไหนก็ตามเป็นระยะทางไกล ๆ หรือเป็นไปได้ควรตรวจเช็คอย่างเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโช๊คอัพในรถยนต์ของเรานั้นยังไม่เสื่อมสภาพ ซึ่งจะทราบได้อย่างไรว่าโช๊คอัพของเรานั้นควรเปลี่ยนได้แล้ว มีวิธีสังเกตุและตรวจสอบได้ ดังนี้

  • ทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ด้านหน้า-หลังของตัวรถ

วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและเป็นวิธีที่เรียกได้ว่า รู้ได้แทบจะทันทีว่าโช๊คอัพของคุณกำลังมีปัญหาอยู่หรือไม่ โดยให้ทิ้งน้ำหนักตัวและกดแล้วปล่อยที่บริเวณด้านหน้า-หลังของรถ หากรถนั้นมี อาการเด้งขึ้น-ลงหลายครั้ง นั่นแสดงให้เห็นว่า โช๊คอัพของคุณนั้น มีปัญหา หรือที่เรียกกันว่า “โช๊คตาย” ให้รีบเปลี่ยนทันที

  • ตรวจดูบริเวณโช๊คอัพ

ให้ลองก้มตัวลงไปดูที่บริเวณของ กระบอกของโช๊คอัพดูว่า พบรอยแตก รอยร้าว หรือมีการรั่วของน้ำมันไฮดรอลิคหรือไม่ หากมีปัญหาเหล่านี้ แสดงว่าโช๊คอัพนั้นเริ่มเสื่อมคุณภาพ โดยที่ตัวซีลกระบอกสูบอาจจะรั่ว ส่งผลให้โช๊คอัพนั้น ทำงานผิดปกติได้

  • สังเกตุเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วเกินกว่า 80 กม./ชั่วโมง

เมื่อขับรถที่ความเร็วสูงขึ้นมาและขับไปได้ในระยะเวลาหนึ่ง จะสังเกตุได้เลยว่า ถ้ารถนั้นมีอาการส่าย ๆ สั่น ๆ รู้สึกเหมือนรถไม่ค่ายเกาะถนนเท่าไหร่นักเมื่อต้องขับปะทะกับลม นั่นแสดงว่าโช๊คอัพนั้นเสื่อมสภาพลงแล้ว ให้ทำการเปลี่ยน

  • สังเกตุเมื่อขับผ่านถนนขรุขระ

วิธีนี้จะคล้าย ๆ กับวิธีแรกเลย คือการสังเกตุอาการเด้งของรถยนต์ ที่มีมากเกินจนผิดปกติ ถ้าหากขับผ่านถนนขรุขระแบบ ที่ชะลอรถแล้วยังมีอาการเด้งอยู่ แสดงว่าโช๊คอัพนั้นเสื่อมสภาพลง

  • สังเกตุที่ดอกของยางรถยนต์

การสังเกตได้ง่ายที่สุดเลยเมื่อขับเสร็จแล้ว ให้ลงมาตรวจสอบ ที่บริเวณยางรถยนต์ หากลูบแล้วพบว่ายางนั้นสึกหรอ เป็นบั้ง ๆ นั่นแสดงว่ารถยนต์นั้นไม่มีโช๊คอัพมาช่วยรองรับน้ำหนักนั่นเอง

  • ดูความร้อนของตัวโช๊คอัพ

โดยปกติแล้วโช๊คอัพผนั้นเมื่อทำงานอยู่ จะมีความร้อนจากการทำงาน แต่หากลองนำมือไปอัง ๆ หรือสัมผัสดูแล้วพบว่า โช๊คอัพ ไม่ร้อนเอาเสียเลย นั่นแสดงว่า โช๊คอัพนั้นไม่ได้มีการทำงาน เป็นอาการบ่งบอกว่าโช๊คอัพเสียได้อย่างดีเยี่ยม

2. ชะลอรถยนต์ทุกครั้งเมื่อขับผ่านเส้นทางที่ถนนขรุขระ

อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่า โช๊คอัพนั้นช่วยในเรื่องของลดแรงกระแทกต่าง ๆ จากพื้นถนน แต่ก็ใช่ว่าคุณจะสามารถขับรถยนต์อย่างไรก็ได้ การขับผ่านเส้นทางที่ขรุขระนั้นควรที่จะชะลอรถแล้วค่อย ๆ ขับผ่านไป จะเป็นการถนอมโช๊คอัพ ไม่ให้ทำงานหนักและรับกระแทกมากเกินไป ช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานยิ่งขึ้น

3. ไม่บรรทุกของหนักจนเกินไป

การบรรทุกของหนักเกินกว่าที่สเปคของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ส่งผลอย่างมากที่ทำให้โช๊คอัพนั้นต้องทำงานหนักเกินกว่าความสามารถที่ทำได้ ยิ่งถ้าใช้รถยนต์บรรทุกเป็นระยะเวลานาน ยิ่งทำให้โช๊คอัพนั้นเสื่อมสภาพได้อย่างรวจเร็วมากยิ่งขึ้น

กลับสู่หน้าหลัก – nonthaburimesuk